สินเชื่อและหนี้สิน
วันนี้เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับเครดิตและหนี้ ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญทางเศรษฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของเรา มาเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจว่าเครดิตและหนี้หมายถึงอะไรกันก่อน
เครดิต คืออะไร?
เครดิตคือเมื่อมีคนให้คุณยืมเงิน และคุณสัญญาว่าจะจ่ายคืนในภายหลัง ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการซื้อของเล่นแต่ไม่มีเงินเพียงพอ พ่อแม่ของคุณอาจให้คุณยืมเงิน คุณสัญญาว่าจะจ่ายคืนเมื่อได้รับเงินค่าขนม
สินเชื่อมีหลายประเภท:
- บัตรเครดิต: เป็นบัตรที่ให้คุณกู้ยืมเงินเพื่อซื้อของ คุณต้องชำระคืนในภายหลัง โดยปกติจะมีดอกเบี้ยเพิ่มเติมด้วย
- เงินกู้: คือการที่คุณกู้ยืมเงินจำนวนมาก เช่น เพื่อซื้อรถหรือซื้อบ้าน โดยคุณจะชำระคืนเงินกู้เป็นจำนวนเล็กน้อยในช่วงเวลาหนึ่ง
- เครดิตของร้านค้า: ร้านค้าบางแห่งให้คุณซื้อสินค้าได้ทันทีและชำระเงินภายหลัง เรียกว่าเครดิตของร้านค้า
หนี้ คืออะไร?
หนี้สินคือเงินที่คุณเป็นหนี้ผู้อื่น เมื่อคุณกู้เงิน คุณก็สร้างหนี้ขึ้นมา คุณต้องชำระหนี้คืนในช่วงเวลาหนึ่ง หากคุณไม่ชำระหนี้ อาจเกิดผลที่ตามมา เช่น ค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมหรือสูญเสียสิ่งมีค่าบางอย่าง
หนี้มีหลายประเภท:
- หนี้ดี: คือหนี้ที่ช่วยปรับปรุงชีวิตของคุณ เช่น เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือเงินกู้ยืมเพื่อซื้อบ้าน
- หนี้เสีย: คือหนี้ที่ไม่ได้ช่วยเหลือคุณในระยะยาว เช่น หนี้บัตรเครดิตจากการซื้อสิ่งของที่คุณไม่ต้องการ
ความสนใจ
เมื่อคุณกู้เงิน คุณมักจะต้องจ่ายคืนมากกว่าที่คุณกู้ยืม เงินส่วนเกินที่คุณจ่ายเรียกว่าดอกเบี้ย ดอกเบี้ยก็เหมือนค่าธรรมเนียมในการกู้ยืมเงิน
ดอกเบี้ยมีอยู่ 2 ประเภท:
- ดอกเบี้ยแบบธรรมดา: คือเมื่อคุณจ่ายดอกเบี้ยเฉพาะจำนวนเงินที่คุณกู้ยืม ตัวอย่างเช่น หากคุณกู้ยืมเงิน 100 ดอลลาร์ และอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 5% คุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ย 5 ดอลลาร์
- ดอกเบี้ยทบต้น: คือดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายสำหรับจำนวนเงินที่กู้ยืมและดอกเบี้ยที่เพิ่มเข้าไป ตัวอย่างเช่น หากคุณกู้ยืมเงิน 100 ดอลลาร์ และอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 5% คุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ย 5 ดอลลาร์ในปีแรก และในปีถัดไป คุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ย 105 ดอลลาร์
ทำไมเครดิตจึงสำคัญ?
เครดิตมีความสำคัญเพราะช่วยให้ผู้คนสามารถซื้อสิ่งของที่จำเป็นแต่ไม่สามารถจ่ายได้ในทันที ตัวอย่างเช่น คนส่วนใหญ่ไม่สามารถซื้อบ้านหรือรถได้ในคราวเดียว พวกเขาใช้เครดิตเพื่อซื้อสิ่งของเหล่านี้และผ่อนชำระในภายหลัง
สินเชื่อยังช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อีกด้วย ธุรกิจสามารถกู้เงินเพื่อซื้ออุปกรณ์ใหม่ จ้างพนักงานเพิ่ม หรือเปิดร้านใหม่ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตและสร้างงานได้มากขึ้น
วิธีใช้เครดิตอย่างชาญฉลาด
การใช้เครดิตอย่างชาญฉลาดหมายถึงการกู้ยืมเฉพาะจำนวนเงินที่คุณสามารถชำระคืนได้ ต่อไปนี้คือเคล็ดลับบางประการในการใช้เครดิตอย่างชาญฉลาด:
- ยืมเฉพาะสิ่งที่คุณต้องการเท่านั้น
- ชำระหนี้ของคุณตรงเวลา
- อย่าใช้เครดิตซื้อสิ่งของที่คุณไม่ต้องการ
- ติดตามจำนวนเงินที่คุณเป็นหนี้
ผลที่ตามมาจากการไม่ชำระหนี้
หากคุณไม่ชำระหนี้คืน อาจเกิดผลที่ร้ายแรงตามมาได้ ดังนี้:
- ค่าธรรมเนียมพิเศษ: คุณอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมหรือค่าปรับเพิ่มเติม
- คะแนนเครดิตไม่ดี: คะแนนเครดิตของคุณอาจลดลง คะแนนเครดิตเป็นตัวเลขที่แสดงให้เห็นว่าคุณมีความสามารถในการชำระหนี้ได้ดีเพียงใด คะแนนเครดิตที่ต่ำอาจทำให้การกู้ยืมเงินในอนาคตเป็นเรื่องยากขึ้น
- การสูญเสียทรัพย์สิน: หากคุณไม่ชำระเงินกู้สำหรับรถยนต์หรือบ้าน ผู้ให้กู้ก็อาจยึดรถยนต์หรือบ้านนั้นไปจากคุณ
ตัวอย่างจากโลกแห่งความเป็นจริง
มาดูตัวอย่างในโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อทำความเข้าใจเครดิตและหนี้ให้ดีขึ้น:
- การซื้อรถยนต์: หากคุณต้องการซื้อรถยนต์ราคา 10,000 ดอลลาร์ แต่คุณมีเงินเพียง 2,000 ดอลลาร์ คุณสามารถกู้เงินเพื่อชำระหนี้ที่เหลือ 8,000 ดอลลาร์ได้ โดยคุณจะชำระคืนเงินกู้เป็นจำนวนเล็กน้อยพร้อมดอกเบี้ยในช่วงเวลาหนึ่ง
- การใช้บัตรเครดิต: หากคุณใช้บัตรเครดิตซื้อของเล่นราคา 50 ดอลลาร์ คุณจะต้องชำระเงินคืน 50 ดอลลาร์พร้อมดอกเบี้ยหากคุณไม่ชำระเงินคืนทันที
- เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา: หากคุณต้องการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแต่ไม่มีเงินเพียงพอ คุณสามารถกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาได้ คุณจะต้องชำระคืนเงินกู้ยืมดังกล่าวหลังจากเรียนจบและเริ่มทำงาน
สรุป
มาสรุปสิ่งที่เราได้เรียนรู้กัน:
- เครดิตคือเมื่อมีคนให้คุณยืมเงิน และคุณสัญญาว่าจะจ่ายคืนในภายหลัง
- หนี้คือเงินที่คุณเป็นหนี้อยู่กับผู้อื่น
- ดอกเบี้ยคือเงินพิเศษที่คุณจ่ายเมื่อคุณกู้เงิน
- เครดิตมีความสำคัญเพราะช่วยให้ผู้คนซื้อสิ่งของที่ต้องการและช่วยให้ธุรกิจเติบโต
- การใช้สินเชื่ออย่างชาญฉลาด หมายถึง การกู้ยืมเฉพาะจำนวนที่คุณสามารถชำระคืนได้เท่านั้น
- หากคุณไม่ชำระหนี้คืน อาจเกิดผลที่ร้ายแรงตามมา เช่น ค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม คะแนนเครดิตไม่ดี และสูญเสียทรัพย์สิน
จำไว้ว่าเครดิตและหนี้เป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจของเรา การใช้สิ่งเหล่านี้อย่างชาญฉลาดสามารถช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายและหลีกเลี่ยงปัญหาทางการเงินได้