Google Play badge

ความไร้เหตุผลและความว่างเปล่า


ความไร้เหตุผลและความว่างเปล่า: การสำรวจคำถามใหญ่ๆ ของชีวิต

วันนี้เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับแนวคิดสองแนวคิดหลักที่เรียกว่าแนวคิดไร้เหตุผลและแนวคิดนิฮิลลิสม์ แนวคิดเหล่านี้มาจากการคิดเกี่ยวกับชีวิตและตั้งคำถามสำคัญๆ เช่น "ฉันอยู่ที่นี่เพื่ออะไร" และ "อะไรทำให้ชีวิตพิเศษ" นอกจากนี้ เรายังพูดถึงหัวข้อที่เรียกว่าแนวคิดอัตถิภาวนิยมอีกด้วย แนวคิดอัตถิภาวนิยมเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกของเราและวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับตัวตนของเราและเหตุผลที่เรามีชีวิตอยู่ แม้ว่าแนวคิดเหล่านี้อาจดูยาก แต่เราสามารถเข้าใจได้ด้วยคำพูดง่ายๆ และตัวอย่างจากชีวิตประจำวันของเรา

การแนะนำแนวคิดดีๆ

ทุกๆ วันที่คุณตื่นนอนขึ้นมา คุณจะเล่น หัวเราะ และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ บางครั้ง คุณอาจสงสัยว่าทำไมคุณถึงทำบางสิ่งบางอย่าง หรือทำไมสิ่งต่างๆ จึงเกิดขึ้นแบบนั้น ผู้ใหญ่หลายคนคิดเกี่ยวกับแนวคิดเหล่านี้มาเป็นเวลานาน พวกเขาคิดหาวิธีต่างๆ เพื่ออธิบายการทำงานของชีวิต แนวคิดสองวิธีนี้เรียกว่าความไร้สาระและความว่างเปล่า

ความไร้เหตุผลและลัทธินิยมเป็นแนวทางในการคิดว่าเราเกิดมาทำไม แนวคิดเหล่านี้ทำให้เราตั้งคำถามเชิงลึก แม้ว่าคำถามเหล่านี้อาจฟังดูซับซ้อน แต่เราสามารถพิจารณาด้วยตัวอย่างง่ายๆ วันนี้เราจะมาพูดถึงความหมายของคำเหล่านี้และความสัมพันธ์กับความรู้สึกและการกระทำในชีวิตประจำวันของเรา

อัตถิภาวนิยมคืออะไร?

แนวคิดอัตถิภาวนิยมคือแนวทางการคิดเกี่ยวกับชีวิตของเราที่ช่วยให้เราเข้าใจความรู้สึกของเราและสิ่งที่ทำให้เราเป็นเรา แนวคิดนี้ถามคำถามเช่น "ฉันเป็นใคร" และ "อะไรทำให้ฉันมีความสุข" ลองนึกภาพว่าคุณมีของเล่นชิ้นโปรด คุณรู้ว่าของเล่นชิ้นนั้นพิเศษสำหรับคุณ แม้ว่าคนอื่นจะไม่เข้าใจว่าทำไมของเล่นชิ้นนั้นถึงพิเศษก็ตาม แนวคิดอัตถิภาวนิยมช่วยให้เราคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เรารู้สึกมีชีวิตชีวาและมีความสำคัญ

วิธีคิดแบบนี้เตือนให้เรามองชีวิตของตัวเองและรู้ว่าทุกวันเต็มไปด้วยช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้และเติบโต เมื่อคุณรู้สึกมีความสุขกับการเล่นกับเพื่อนหรือภูมิใจเมื่อได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นั่นคือวิธีค้นหาความหมายในชีวิตของคุณ ปรัชญาอัตถิภาวนิยมช่วยให้คุณมองเห็นว่าความรู้สึกและประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ทุกๆ อย่างล้วนเป็นส่วนหนึ่งของตัวคุณ

ความไร้เหตุผลคืออะไร?

ความไร้เหตุผลเป็นแนวคิดที่ว่าบางครั้งชีวิตก็ไม่สมเหตุสมผล เหมือนกับการพยายามต่อจิ๊กซอว์ในขณะที่ชิ้นส่วนบางชิ้นไม่พอดีกัน ลองนึกภาพว่าคุณกำลังเล่นกับบล็อก คุณพยายามวางบล็อกให้สูง แต่ทันใดนั้นบล็อกก็ล้มลง คุณอาจหัวเราะคิกคักหรือเกาหัวเพราะบล็อกไม่เป็นไปตามที่คุณวางแผนไว้ ความรู้สึกนี้คล้ายกับความไร้เหตุผลเล็กน้อย

ในความไร้สาระ ผู้คนมักพูดว่าชีวิตนั้นน่าขบขันและน่าสับสน บางครั้งสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นโดยที่เราไม่คาดคิด ลองนึกถึงวันที่คุณออกไปเล่นข้างนอก แล้วจู่ๆ ฝนก็เริ่มตก คุณอาจรู้สึกสับสนเพราะคุณพร้อมสำหรับวันที่มีแดดแล้ว แม้ว่าจะดูแปลก แต่คุณก็ยังคงเพลิดเพลินกับการเล่นน้ำในแอ่งน้ำหรือเฝ้าดูสายรุ้งที่ปรากฏขึ้นหลังฝนตกได้ การผสมผสานระหว่างความประหลาดใจและความสับสนเป็นวิธีที่ดีในการทำความเข้าใจความไร้สาระ

เมื่อคุณเห็นบางสิ่งที่แปลกหรือตลกซึ่งคุณไม่สามารถอธิบายได้ นั่นเป็นสัญญาณของความไร้สาระ มันแสดงให้เราเห็นว่าไม่ใช่ทุกสิ่งในชีวิตจะมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน แม้ว่าแผนการใหญ่ๆ ของเราอาจล้มเหลวในบางครั้ง แต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะหัวเราะให้กับความประหลาดใจและลองทำสิ่งใหม่ๆ ต่อไป

นิฮิลิสม์คืออะไร?

นิฮิลลิสม์เป็นแนวคิดอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับชีวิต ซึ่งบอกเราว่าไม่มีสิ่งใดมีความหมายลึกซึ้งหรือมีจุดประสงค์พิเศษ ลองนึกภาพว่าคุณมีกล่องดินสอสี คุณเห็นสีแดง สีน้ำเงิน สีเขียว และสีอื่นๆ อีกมากมาย ลองนึกภาพว่ามีคนบอกว่าสีเหล่านี้เป็นเพียงสีเท่านั้น และไม่มีความหมายพิเศษใดๆ ซึ่งก็คล้ายกับความหมายของนิฮิลลิสม์

ในลัทธิไร้หลักการ บางคนเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่แฝงไว้ ลองนึกภาพว่าคุณกำลังเล่นเกมที่ไม่มีกฎเกณฑ์ คุณอาจรู้สึกหลงทางหรือสับสนเพราะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ลัทธิไร้หลักการอาจให้ความรู้สึกคล้ายๆ กัน คือดูเหมือนไม่มีอะไรมีเหตุผลที่ชัดเจน แนวคิดนี้บอกเราว่าไม่มีแผนลับใดๆ อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของเรา

แม้ว่าแนวคิดที่ว่าความว่างเปล่าอาจฟังดูเป็นวิธีคิดที่น่าเศร้า แต่ก็เป็นเพียงวิธีหนึ่งในการมองชีวิต บางคนใช้แนวคิดนี้เพื่อบอกว่าเราไม่ควรวิตกกังวลมากเกินไปหากเราไม่สามารถค้นพบจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่ในทุกช่วงเวลา บางครั้งชีวิตก็ดำเนินไปตามปกติ และนั่นก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน

การเปรียบเทียบความไร้เหตุผลกับความว่างเปล่า

ความไร้เหตุผลและความว่างเปล่าเป็นแนวทางในการคิดเกี่ยวกับชีวิต ทั้งสองอย่างนี้ตั้งคำถามสำคัญเกี่ยวกับเหตุผลที่เรามีอยู่และสิ่งต่างๆ มีความหมายอย่างไร อย่างไรก็ตาม ทั้งสองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน

ความไร้สาระบอกเราว่าชีวิตสามารถตลกและสับสนได้ในเวลาเดียวกัน มันแสดงให้เราเห็นว่าแม้ว่าสิ่งต่างๆ จะไม่เป็นไปตามแผน แต่ก็อาจมีช่วงเวลาแห่งความสุขท่ามกลางความประหลาดใจได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อไอศกรีมของคุณตกลงบนพื้น คุณอาจรู้สึกเศร้าในตอนแรก แต่หลังจากนั้นคุณก็สังเกตว่าคุณสามารถหัวเราะกับมันและลองใหม่อีกครั้งได้ ความบิดเบี้ยวของอารมณ์ดังกล่าวคือแก่นแท้ของความไร้สาระ

ในทางกลับกัน นิฮิลลิสม์เป็นแนวคิดที่ว่าไม่มีอะไรมีความหมายแอบแฝง แนวคิดนี้บอกเราว่าไม่มีบทเรียนใหญ่หรือจุดประสงค์ลับเบื้องหลังสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา ลองจินตนาการว่ากำลังเล่นเกมที่ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ และการเคลื่อนไหวทุกครั้งจะดูสุ่ม ความรู้สึกว่างเปล่านี้คล้ายกับที่นิฮิลลิสม์บรรยายไว้

หากจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ความไร้เหตุผลจะช่วยให้คุณมองเห็นความสนุกสนานในความประหลาดใจในชีวิต ส่วนความว่างเปล่าจะทำให้คุณคิดว่าไม่มีอะไรสำคัญจริงๆ แนวคิดทั้งสองนี้มาจากการพยายามทำความเข้าใจชีวิต แต่แนวคิดทั้งสองนี้แสดงให้เราเห็นมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของเรา

สภาพความเป็นมนุษย์: เรารู้สึกและดำเนินชีวิตอย่างไร

สภาพความเป็นมนุษย์เป็นวิธีหนึ่งในการพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกและประสบการณ์ที่ทุกคนมีร่วมกัน ทุกเช้า คุณจะรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบปะเพื่อนๆ และบางครั้งคุณอาจรู้สึกเศร้าเล็กน้อยหากแผนต้องเปลี่ยนไป ความรู้สึกเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ แนวคิดอัตถิภาวนิยม แนวคิดไร้เหตุผล และแนวคิดนิฮิลลิสม์ช่วยให้เราพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกเหล่านี้ได้

ในแต่ละวัน คุณอาจต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ดูสับสน บางทีคุณอาจสงสัยว่าทำไมบางครั้งฝนจึงตกในขณะที่คุณวางแผนจะออกไปปิกนิก ช่วงเวลาดังกล่าวทำให้คุณได้คิดและตั้งคำถาม ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของสภาพความเป็นมนุษย์ ซึ่งก็คือความรู้สึกที่คุณมีต่อชีวิตในขณะที่คุณดำเนินชีวิต

แม้ว่าแนวคิดใหญ่ๆ เหล่านี้อาจดูเข้าใจยาก แต่ก็ช่วยให้ผู้ใหญ่และนักเรียนรุ่นโตได้คิดเกี่ยวกับสาเหตุที่ชีวิตเป็นเช่นนี้ สำหรับคุณแล้ว การมีคำถามและความรู้สึกประหลาดใจบ้างก็ถือเป็นเรื่องปกติของชีวิต

ชีวิตประจำวันและความคิดดีๆ

มาดูตัวอย่างง่ายๆ จากชีวิตประจำวันที่ช่วยอธิบายแนวคิดเหล่านี้กัน:

ตัวอย่างเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าแม้บางครั้งชีวิตจะดูเหมือนปริศนา แต่ก็ยังเต็มไปด้วยช่วงเวลาแห่งความสนุกสนาน แม้ว่าชิ้นส่วนปริศนาจะไม่ตรงกัน คุณก็สามารถหัวเราะและสนุกไปกับกระบวนการในการพยายามไขปริศนา

การค้นหาความสุขจากสิ่งเรียบง่าย

แม้ว่าเราจะคิดว่าชีวิตนั้นสับสนและคาดเดาไม่ได้เพียงใด แต่สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่ามีช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ ที่มีความสุขมากมายในแต่ละวัน เมื่อคุณเห็นรุ้งกินน้ำสดใสหลังฝนตก ได้ยินเพลงโปรด หรือแบ่งปันรอยยิ้มกับเพื่อน ช่วงเวลาเหล่านี้จะนำความสุขมาสู่ชีวิตของคุณ

ลัทธิไร้เหตุผลสอนเราว่า แม้ว่าสิ่งต่างๆ จะไม่มีแผนที่ชัดเจน เราก็ยังสามารถหาเหตุผลเพื่อยิ้มได้ ลัทธิไร้เหตุผลอาจบอกเราว่าไม่มีสิ่งใดสำคัญ แต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และอ้อมกอดอันอบอุ่นของคุณมีความสำคัญ เพราะคุณเลือกที่จะทำให้มันเป็นเช่นนั้น การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณทำทุกครั้งจะเพิ่มสีสันให้กับชีวิตของคุณ เช่นเดียวกับการวาดภาพด้วยดินสอสีสดใส

ทำไมผู้คนถึงคิดเกี่ยวกับแนวคิดใหญ่ๆ เหล่านี้?

ผู้คนทุกวัยต่างก็สงสัยเกี่ยวกับความหมายของชีวิต พวกเขามักจะถามคำถามสำคัญๆ เช่น "ทำไมฉันถึงตื่นนอนทุกวัน" หรือ "การเล่นเกมหรือเล่าเรื่องราวมีประโยชน์อะไร" คำถามเหล่านี้ช่วยให้เราคิดว่าอะไรทำให้ชีวิตน่าสนใจ

ความไร้เหตุผลและความว่างเปล่าเป็นสองวิธีที่ผู้คนพยายามหาคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ บางคนรู้สึกสบายใจเมื่อมองว่าชีวิตเป็นปริศนาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เช่นเดียวกับความไร้เหตุผล คนอื่นๆ อาจรู้สึกว่าชีวิตไม่มีจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นแนวคิดเบื้องหลังความว่างเปล่า วิธีคิดทั้งสองแบบช่วยให้เราสำรวจความรู้สึกที่ลึกซึ้งของเราเกี่ยวกับชีวิต

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังอ่านหนังสือนิทานที่ตัวละครต้องเผชิญกับเรื่องเซอร์ไพรส์สุดฮาอยู่บ้าง และบางครั้งก็มีเรื่องเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน ความรู้สึกผสมผสานที่คุณรู้สึกเมื่ออ่านนิทานนั้นคล้ายกับความคิดผสมผสานในลัทธิไร้เหตุผลและลัทธิไร้ความหมาย เมื่อคุณโตขึ้นและเรียนรู้มากขึ้น คุณจะมีโอกาสสำรวจความคิดเหล่านี้เพิ่มเติมและตัดสินใจว่าอะไรเหมาะกับคุณ

การรู้สึกสับสนเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

บางครั้งการรู้สึกสับสนก็เป็นเรื่องปกติ เมื่อคุณคิดถึงแนวคิดใหญ่ๆ เช่น ความไร้สาระและลัทธินิยม คุณอาจจะไม่รู้คำตอบทั้งหมด ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติและเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ทุกๆ วัน คุณจะค้นพบสิ่งใหม่ๆ แม้ว่าในตอนแรกจะรู้สึกสับสนก็ตาม เช่นเดียวกับเมื่อคุณไขปริศนาจิ๊กซอว์และค่อยๆ เห็นภาพต่างๆ ประกอบกันขึ้น ความรู้สึกและความคิดของคุณจะช่วยสร้างเรื่องราวในชีวิตของคุณขึ้นมา

เมื่อคุณรู้สึกสับสน นั่นหมายความว่าคุณกำลังคิดอย่างลึกซึ้งและพยายามทำความเข้าใจโลกให้ดีขึ้น ไม่ว่าคุณจะหัวเราะให้กับความประหลาดใจที่ตลกขบขันในชีวิต หรือสงสัยว่าทุกสิ่งมีเหตุผลแอบแฝงหรือไม่ โปรดจำไว้ว่าความคิดของคุณมีความสำคัญ คำถามทุกข้อที่คุณถามจะช่วยให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมการสำรวจและพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญ

การพูดคุยเกี่ยวกับความคิดที่ยิ่งใหญ่

การแบ่งปันสิ่งที่คุณคิดเกี่ยวกับชีวิตสามารถช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้ เมื่อคุณพูดคุยกับครู ผู้ปกครอง หรือเพื่อนเกี่ยวกับเรื่องตลกหรือเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้น คุณกำลังพยายามคิดหาแนวคิดดีๆ เหล่านี้ ตัวอย่างเช่น หากคุณเล่าให้ใครฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ของเล่นของคุณทำสิ่งที่ไม่คาดคิด แสดงว่าคุณกำลังสำรวจว่าความไร้สาระอาจหมายถึงอะไร

เมื่อคุณฟังคนอื่นเล่าเรื่องราวของตนเอง คุณจะได้เรียนรู้ว่าหลายคนมีช่วงเวลาที่รู้สึกประหลาดใจหรือสับสน ทุกคนต่างเคยมีช่วงเวลาที่สิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามแผน เมื่อเราพูดถึงช่วงเวลาดังกล่าว เราจะเห็นว่าชีวิตเต็มไปด้วยการผจญภัยและความลึกลับ

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังนั่งเป็นวงกลมกับเพื่อนๆ และแบ่งปันเรื่องราวต่างๆ เรื่องราวแต่ละเรื่องอาจแตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดล้วนเป็นภาพรวมของชีวิต เรื่องราวของคุณ รวมถึงเรื่องราวอื่นๆ ล้วนแสดงให้เห็นถึงวิธีต่างๆ ที่ผู้คนสัมผัสชีวิต นี่คือวิธีที่เราเรียนรู้ว่าแม้บางช่วงเวลาอาจดูเหมือนไม่มีความหมายที่วางแผนไว้ แต่ทุกช่วงเวลาก็ล้วนเป็นส่วนสำคัญของชีวิตเรา

การใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

แม้ว่าความคิดบางอย่างอาจบอกว่าชีวิตอาจดูสับสนหรือไม่มีจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่ แต่คุณสามารถเลือกที่จะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมายได้ทุกวัน ทุกครั้งที่คุณช่วยเหลือเพื่อน เล่นเกม หรือใช้เวลาอยู่กับครอบครัว คุณกำลังทำให้ชีวิตของคุณพิเศษ

การกระทำ เสียงหัวเราะ และคำพูดดีๆ ของคุณช่วยสร้างความหมายให้กับชีวิต ลองนึกถึงชีวิตเหมือนสวนขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้หลากหลายชนิด ดอกไม้แต่ละดอกมีความสำคัญเพราะทำให้สวนสวยงาม ในทำนองเดียวกัน รอยยิ้มที่คุณแบ่งปันหรือการกระทำอันแสนดีที่คุณทำก็ทำให้ชีวิตของคุณสวยงามขึ้น

โปรดจำไว้ว่า แม้ว่าบางคนจะพูดถึงแนวคิดใหญ่ๆ เช่น ความไร้สาระและลัทธิทำลายล้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องรู้สึกสูญเสีย คุณสามารถเลือกที่จะมองเห็นความสุขในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ และสร้างเหตุผลแห่งความสุขของคุณเองได้ คุณคือคนที่ทำให้วันของคุณสดใสผ่านความรักและความเอาใจใส่ที่คุณมอบให้กับผู้อื่น

การเชื่อมโยงความคิดในชีวิตประจำวันของเรา

แม้ว่าคำว่าไร้สาระและลัทธิไร้เหตุผลอาจฟังดูเหมือนคำสำหรับผู้ใหญ่ แต่ทั้งสองคำนี้ยังสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งที่คุณเห็นทุกวันได้ ลองนึกภาพว่าคุณอยู่ในสวนสาธารณะกับเพื่อนๆ คุณวิ่งเล่นและเพลิดเพลินกับแสงแดด ทันใดนั้น สายลมพัดเบาๆ ก็เปลี่ยนเกม และคุณต้องปฏิบัติตามกฎใหม่ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจดูไม่คาดฝัน แต่จะทำให้คุณสนุกสนานมากขึ้น การผสมผสานระหว่างความประหลาดใจและความสนุกสนานนี้ทำให้เราเข้าใจแนวคิดของความไร้สาระ ซึ่งยังสามารถเพลิดเพลินกับสิ่งที่ไม่คาดคิดได้

ในทางกลับกัน หากคุณตื่นขึ้นมาในวันที่ทุกอย่างดูธรรมดาและไม่มีใครสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากนัก คุณอาจรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสิ้นหวัง ราวกับว่าไม่มีอะไรพิเศษ แต่แล้วคุณก็จำได้ว่ารอยยิ้มที่แสนดีหรือเสียงหัวเราะร่วมกันสามารถทำให้วันของคุณสดใสขึ้นได้ นี่แสดงให้เห็นว่าแม้ว่าบางช่วงเวลาจะดูว่างเปล่า แต่คุณสามารถเติมเต็มช่วงเวลาเหล่านั้นด้วยความหมายของคุณเองได้โดยทำในสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข

วิธีที่แตกต่างในการมองโลก

ทุกคนต่างมองโลกในแบบฉบับของตนเอง บางคนมองเห็นความหมายในทุกสิ่งที่ทำและมองว่าทุกช่วงเวลามีความสำคัญ ในขณะที่บางคนอาจสงสัยว่าชีวิตเป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือไม่ ทั้งสองวิธีในการมองสิ่งต่างๆ นั้นล้วนถูกต้อง สิ่งสำคัญคือการฟังความรู้สึกของตัวเองและเข้าใจว่าความคิดของคุณอาจเปลี่ยนแปลงไปเมื่อคุณเรียนรู้มากขึ้น

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังอ่านหนังสือที่มีรูปภาพและเรื่องราวการผจญภัยมากมาย บางครั้งเรื่องราวอาจมีข้อความที่ชัดเจน แต่บางครั้งก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความสนุกที่ไม่มีใครรู้จัก เช่นเดียวกับรูปภาพในหนังสือ แต่ละช่วงเวลาในแต่ละวันของคุณล้วนมีความสวยงามและความประหลาดใจในแบบของตัวเอง ด้วยวิธีนี้ คุณจะเรียนรู้ว่าชีวิตสามารถเป็นการผสมผสานระหว่างช่วงเวลาที่ชัดเจนและช่วงเวลาที่น่าสงสัย ทั้งสองส่วนช่วยทำให้ภาพรวมสมบูรณ์

บทบาทของคำถามในชีวิต

เมื่อคุณโตขึ้น การถามคำถามเกี่ยวกับโลกรอบตัวคุณนั้นเป็นสิ่งที่ดีมาก คำถามเช่น "ทำไมท้องฟ้าถึงเป็นสีฟ้า" หรือ "ทำไมเราถึงฉลองวันเกิด" จะช่วยให้คุณเข้าใจชีวิตมากขึ้น แนวคิดใหญ่ๆ เช่น ความไร้สาระและลัทธิทำลายล้างก็มาจากการตั้งคำถามเกี่ยวกับสาเหตุที่สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นเช่นกัน

เมื่อคุณคิดว่า “วันนี้ฉันมีความสุขอย่างไร” หรือ “ทำไมถึงมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น” คุณกำลังใช้ความอยากรู้อยากเห็นเพื่อสำรวจโลก แม้ว่าคำตอบจะไม่ชัดเจนเสมอไป แต่ทุกคำถามจะช่วยให้คุณเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเองและผู้คนรอบตัวคุณมากขึ้น

จำไว้ว่าการถามคำถามเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นคนช่างสงสัยและช่างคิด เป็นเรื่องธรรมดามากที่จะสงสัยถึงเหตุผลเบื้องหลังความประหลาดใจเล็กๆ น้อยๆ และปริศนาใหญ่ๆ

เรื่องราวเรียบง่ายของชีวิต

มาฟังเรื่องราวง่าย ๆ กัน กาลครั้งหนึ่งในเมืองที่เงียบสงบ มีเด็กชายคนหนึ่งชื่ออเล็กซ์ เขาชอบสำรวจสิ่งต่าง ๆ อเล็กซ์ชอบปีนต้นไม้ ดูนกบิน และวิ่งเล่นอย่างมีความสุขในสนามเด็กเล่น วันหนึ่ง ขณะที่อเล็กซ์กำลังเล่นอยู่ อเล็กซ์ได้เห็นว่าวสีสันสดใสตัวใหญ่กำลังบินสูงบนท้องฟ้า จู่ ๆ ว่าวก็ไปติดกิ่งไม้ของต้นไม้สูงต้นหนึ่ง อเล็กซ์รู้สึกเศร้าเมื่อเห็นของเล่นชิ้นโปรดของเขาพันกัน แต่เขาก็รู้สึกว่าฉากนั้นตลกเล็กน้อย เพราะว่าวนั้นแกว่งไกวตามลมในลักษณะที่แปลกประหลาด

อเล็กซ์สงสัยว่าทำไมว่าวจึงไม่เคลื่อนไหวตามที่เขาคาดหวัง เขาคิดว่ามันถูกกำหนดให้บินได้อย่างอิสระหรือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปริศนาที่ยิ่งใหญ่กว่าในวันนั้น ในขณะนั้น อเล็กซ์ได้สัมผัสกับบางสิ่งที่ดูเหมือนความไร้สาระ เขาเห็นว่าแม้ว่าบางสิ่งจะผิดพลาด แต่ความประหลาดใจนั้นก็อาจมีความสวยงามและอารมณ์ขันในแบบแปลกๆ ได้

หลังจากนั้น เพื่อนคนหนึ่งก็มาช่วยอเล็กซ์แก้ว่าว พวกเขาหัวเราะร่วมกันเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้น การผจญภัยที่เรียบง่ายนี้ทำให้พวกเขารู้ว่าแม้ว่าสิ่งต่างๆ จะไม่เป็นไปตามแผน แต่ชีวิตก็ยังคงเต็มไปด้วยความสนุกสนานและความหมาย อเล็กซ์ได้เรียนรู้ว่าบางครั้งการรู้สึกสับสนก็เป็นเรื่องปกติ และทุกๆ วันคือโอกาสที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆ

การใช้ศิลปะเพื่อทำความเข้าใจแนวคิดใหญ่ๆ

งานศิลปะ ดนตรี และเรื่องราวต่าง ๆ เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการแสดงความรู้สึกและความคิดของเรา เมื่อคุณวาดรูปหรือร้องเพลง คุณกำลังแสดงตัวตนบางส่วนของคุณ บางครั้งภาพวาดของคุณอาจมีสีสันสดใส และบางครั้งอาจมีเฉดสีเข้มขึ้นเมื่อคุณรู้สึกสับสน กระบวนการสร้างสรรค์นี้คล้ายกับแนวคิดเรื่องความไร้สาระ แม้ว่าภาพจะดูไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็บอกเล่าเรื่องราวของคุณเอง

การฟังเพลงหรืออ่านนิทานก็แสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีทุกอย่างที่เป็นไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ ความงามของงานศิลปะก็คือมันช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าอะไรสำคัญ ตัวอย่างเช่น การวาดภาพรุ้งกินน้ำหลังฝนตกจะทำให้คุณรู้สึกมีความหวังและมีความสุข มันบอกคุณว่าแม้ว่าวันนั้นจะดูมืดมน แต่ก็ยังมีสิ่งดีๆ รออยู่ข้างหน้าเสมอ

การเข้าใจความรู้สึกของคุณเอง

เมื่อคุณเติบโตขึ้นและได้สัมผัสกับโลกมากขึ้น คุณจะเริ่มเข้าใจความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น บางครั้งคุณอาจรู้สึกมีความสุข บางครั้งสับสน และบางครั้งอาจรู้สึกสูญเสียเล็กน้อย ความรู้สึกเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อคุณรู้สึกว่าวันของคุณเป็นเหมือนปริศนาที่ถูกสับสน จงรู้ว่านั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเดินทางของคุณเท่านั้น

การพูดคุยกับคนที่คุณไว้ใจเกี่ยวกับความรู้สึกของคุณจะช่วยให้คุณเข้าใจพวกเขาได้ดีขึ้น หากคุณเคยรู้สึกว่าไม่เข้าใจว่าทำไมบางสิ่งถึงเกิดขึ้น โปรดจำไว้ว่าการรู้สึกแบบนั้นเป็นเรื่องปกติ หลายคนมีช่วงเวลาที่ตั้งคำถามกับบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าคุณจะคิดถึงความไร้สาระ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสนุกในการสร้างความประหลาดใจ หรือความว่างเปล่า ซึ่งทำให้คุณสงสัยว่าไม่มีอะไรสำคัญเลย ความรู้สึกของคุณมีความสำคัญและช่วยให้คุณเรียนรู้และเติบโต

เหตุใดการเรียนรู้เกี่ยวกับแนวคิดเหล่านี้จึงสำคัญ?

การเรียนรู้เกี่ยวกับแนวคิดต่างๆ เช่น ความไร้เหตุผลและลัทธิทำลายล้างจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าชีวิตเต็มไปด้วยประสบการณ์ที่หลากหลาย ช่วยให้คุณเรียนรู้ว่าความสับสนและความประหลาดใจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เมื่อคิดถึงแนวคิดเหล่านี้ คุณจะเรียนรู้ว่าไม่เป็นไรหากทุกช่วงเวลาจะมีคำตอบที่ชัดเจน

ทุกครั้งที่คุณแบ่งปันรอยยิ้ม ช่วยเหลือเพื่อน หรือแม้แต่หัวเราะให้กับความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ คุณก็กำลังสร้างความหมายให้กับวันของคุณ การกระทำเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าแม้ว่าแนวคิดบางอย่างจะบอกว่าไม่มีอะไรสำคัญ แต่คุณคือคนที่เติมสีสันและจุดมุ่งหมายให้กับชีวิตของคุณ

เมื่อคุณเรียนรู้เกี่ยวกับคำถามใหญ่ๆ ในชีวิต คุณจะเริ่มเห็นว่าทุกส่วนของวันไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ล้วนมีความสำคัญ เปรียบเสมือนการต่อจิ๊กซอว์ขนาดยักษ์ แต่ละชิ้นส่วน ทุกช่วงเวลา ล้วนทำให้ภาพรวมสมบูรณ์และสวยงาม

การใจดีต่อตัวเองและผู้อื่น

บางครั้งการคิดถึงแนวคิดดีๆ อาจทำให้คุณรู้สึกหนักใจหรือรู้สึกหนักใจมากเกินไป เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องใจดีกับตัวเอง โดยเฉพาะในวันที่สิ่งต่างๆ ดูสับสนวุ่นวาย จำไว้ว่าทุกวันคือโอกาสสำหรับการเริ่มต้นใหม่ รอยยิ้ม การกอด และคำพูดดีๆ ของคุณสามารถสร้างความแตกต่างครั้งยิ่งใหญ่ให้กับวันของคนอื่นได้

ความใจดีของคุณแสดงให้เห็นว่าชีวิตมีความหมาย เพราะคุณช่วยสร้างช่วงเวลาแห่งความสุข เมื่อคุณเห็นเพื่อนที่กำลังอารมณ์เสีย คุณจะพูดจาดีๆ หรือตบไหล่ปลอบใจ การกระทำเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เตือนคุณว่าแม้ว่าโลกจะดูสับสน แต่ความรักและความห่วงใยก็ทำให้ชีวิตสวยงาม

มองไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม

เมื่อคุณโตขึ้น คุณจะค้นพบแนวคิดใหม่ๆ และมองเห็นสิ่งต่างๆ ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมองไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม เพลิดเพลินกับทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นวันที่อากาศแจ่มใสที่สวนสาธารณะ ช่วงเวลาสนุกๆ ในชั้นเรียน หรือช่วงเวลาพิเศษกับครอบครัวของคุณ

ทุกๆ วันใหม่เป็นโอกาสที่ดีในการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกและตัวคุณเอง แม้ว่าแนวคิดใหญ่ๆ เช่น ความไร้สาระและลัทธิทำลายล้างจะทำให้คุณหยุดคิด แต่แนวคิดเหล่านี้ยังแสดงให้คุณเห็นว่าช่วงเวลาแต่ละช่วงมีค่าเพียงใด จงจำไว้เสมอว่าคุณคือคนที่เติมเต็มชีวิตของคุณด้วยความสุข ความรัก และความหมาย

สรุปประเด็นสำคัญ

• ความไร้เหตุผล: บางครั้งชีวิตก็ดูเหมือนเป็นปริศนาที่น่าขบขันและน่าสับสน แม้ว่าสิ่งต่างๆ จะไม่เป็นไปตามแผน แต่ก็อาจมีช่วงเวลาแห่งความสุขท่ามกลางความประหลาดใจในชีวิต

• นิฮิลลิสม์: แนวคิดนี้แสดงให้เห็นว่าไม่มีอะไรมีความหมายพิเศษหรือซ่อนเร้น เหมือนกับการบอกว่าสีทั้งหมดในกล่องดินสอสีของคุณเป็นเพียงสีที่ไม่มีข้อความสำคัญอะไร

• ปรัชญาอัตถิภาวนิยม คือ การคิดว่าเราเป็นใครและอะไรทำให้เรามีความสุข ปรัชญานี้กระตุ้นให้เราพิจารณาความรู้สึกและการกระทำของตัวเองทุกวัน

• ชีวิตประจำวัน: ชีวิตของคุณเต็มไปด้วยช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ เช่น การเล่น การหัวเราะ การเรียนรู้ และแม้กระทั่งความรู้สึกสับสน ช่วงเวลาเหล่านี้มีความสำคัญเพราะช่วยสร้างภาพรวมว่าคุณเป็นใคร

• การค้นหาความหมาย: แม้ว่าความคิดบางอย่างจะแนะนำว่าไม่มีสิ่งใดมีจุดประสงค์พิเศษ แต่คุณสามารถสร้างความหมายผ่านความสุขง่ายๆ เช่น รอยยิ้ม คำพูดดีๆ หรือเกมสนุกๆ กับเพื่อนๆ

• ความเมตตา: การแสดงความเมตตาต่อตนเองและผู้อื่นทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น การกระทำใดๆ ที่เอาใจใส่จะทำให้ชีวิตมีความหมาย

• การเดินทาง: ชีวิตก็เหมือนสวนสวยหรือปริศนาขนาดใหญ่ ทุกๆ วัน แม้ว่าจะรู้สึกสับสน แต่ก็เป็นโอกาสที่จะเรียนรู้ สำรวจ และเติบโต ประสบการณ์และความรู้สึกของคุณสร้างเรื่องราวพิเศษของคุณเอง

โปรดจำไว้ว่าแม้ชีวิตจะดูสับสนหรือไร้สาระ แต่คุณก็สามารถค้นพบความสุขได้ในช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ ความรู้สึกของคุณมีความสำคัญ และทุกๆ วัน คุณสร้างความหมายให้กับตัวเองได้ด้วยการแบ่งปันความรักและความเมตตากรุณาต่อโลก

Download Primer to continue