Google Play badge

ความคลางแคลงใจและแหล่งที่มาของความรู้


ในบทเรียนนี้ เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับแนวคิดสำคัญสองประการ ได้แก่ ความคลางแคลงใจและแหล่งที่มาของความรู้ แนวคิดเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าเรารู้เรื่องราวต่างๆ ได้อย่างไร และเหตุใดการถามคำถามจึงมีความสำคัญ นอกจากนี้ แนวคิดเหล่านี้ยังสอนให้เราตรวจสอบด้วยว่าสิ่งที่เราได้ยินหรือเห็นนั้นเป็นความจริงหรือไม่

เราจะมาพูดถึงว่าความรู้คืออะไร ความรู้ของเรามาจากไหน และการตั้งคำถามหมายถึงอะไร แนวคิดทั้งหมดนี้ช่วยให้เราเรียนรู้และเติบโต เริ่มต้นบทเรียนและสำรวจแนวคิดเหล่านี้ด้วยวิธีง่ายๆ กัน

ความรู้คืออะไร?

ความรู้หมายถึงสิ่งที่คุณเรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับโลก เป็นข้อมูลที่คุณรวบรวมจากประสบการณ์ของคุณ เมื่อคุณเรียนรู้ว่าท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินหรือไฟร้อน คุณก็จะได้รับความรู้มากขึ้น ทุกครั้งที่คุณเห็น ได้ยิน หรือทำบางอย่าง คุณก็จะได้รับความรู้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย

ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณเรียนรู้ตัวอักษร ABC หรือวิธีการนับ คุณก็จะได้รับความรู้ เมื่อคุณได้ยินเพลงและจำเนื้อเพลงได้ นั่นก็ถือเป็นความรู้เช่นกัน ความรู้เปรียบเสมือนรากฐานของสิ่งต่างๆ ที่เราเข้าใจ

แหล่งที่มาของความรู้

มีวิธีมากมายในการเรียนรู้เกี่ยวกับโลก เราเรียกวิธีการเหล่านี้ว่า "แหล่งความรู้" วิธีนี้ช่วยให้เรารู้ว่าอะไรจริงและอะไรไม่จริง ต่อไปนี้คือตัวอย่างง่ายๆ:

ทุกครั้งที่คุณใช้ประสาทสัมผัสหรือฟังใคร คุณกำลังใช้แหล่งความรู้ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าความรู้ของคุณมาจากไหนเพื่อให้คุณสามารถเชื่อถือสิ่งที่คุณเรียนรู้ได้

ความคลางแคลงใจคืออะไร?

การไม่เชื่ออะไรง่ายๆ หมายถึงการระมัดระวังสิ่งที่คุณเชื่อ เหมือนกับการเป็นนักสืบตัวน้อยๆ ที่ใช้ความคิด แทนที่จะเชื่อทุกอย่างในคราวเดียว คุณจะตั้งคำถาม คุณตรวจสอบด้วยตา หู หรือด้วยการคิดเพื่อดูว่าสิ่งใดสมเหตุสมผลหรือไม่

ตัวอย่างเช่น หากมีคนบอกคุณว่าแมวบินได้ คุณอาจคิดว่า “ดูไม่ถูกต้องเลย!” จากนั้น คุณสามารถมองแมวแล้วสังเกตว่ามันเดินและวิ่งได้ การสงสัยนี้เป็นตัวอย่างของความไม่เชื่อ

การไม่เชื่ออะไรง่ายๆ หมายถึงการที่คุณไม่ยอมรับว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นความจริงเพียงเพราะมีคนพูดออกมา คุณต้องการเห็นและเข้าใจด้วยตนเอง การคิดอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณเรียนรู้ข้อเท็จจริงที่แท้จริง

เหตุใดการถามคำถามจึงสำคัญ?

การถามคำถามเป็นวิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง เมื่อคุณถามว่า "ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนี้เป็นความจริง" คุณจะเริ่มมองหาเบาะแส คำถามสามารถช่วยให้คุณค้นพบสิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับโลกได้

ลองสมมติว่าเพื่อนของคุณบอกคุณว่าต้นไม้พูดได้ คุณอาจถามว่า "ฉันได้ยินต้นไม้พูดไหม" เมื่อคุณตั้งใจฟังและพบว่าต้นไม้ไม่พูด คุณจะรู้ว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เมื่อคุณถามคำถาม คุณจะพบความจริง

การถามคำถามจะช่วยให้คุณเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น ทำให้คุณนึกสงสัยว่า “ทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้น” หรือ “มันเกิดขึ้นได้อย่างไร” เมื่อคุณสงสัยในลักษณะนี้ ความรู้ของคุณก็จะเพิ่มมากขึ้น

การใช้ประสาทสัมผัสของคุณเพื่อรับรู้ความจริง

ประสาทสัมผัสเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่จะช่วยให้คุณรู้ว่าอะไรคือความจริง ทุกๆ วัน คุณใช้ประสาทสัมผัสเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับโลกที่อยู่รอบตัวคุณ ตา หู จมูก ลิ้น และมือของคุณช่วยให้คุณรับรู้ได้ว่าสิ่งต่างๆ เป็นอย่างไร

ตัวอย่างเช่น:

การใช้ประสาทสัมผัสจะช่วยให้คุณตรวจสอบได้ว่าข้อมูลบางอย่างเป็นความจริงหรือไม่ ตัวอย่างเช่น หากคุณได้ยินว่าเลมอนมีรสหวาน แต่ลองชิมดู คุณจะรู้ว่าเลมอนมีรสเปรี้ยว ประสาทสัมผัสของคุณช่วยให้คุณทดสอบสิ่งที่คุณรู้ได้

การเรียนรู้จากผู้คน: ครอบครัว เพื่อน และครู

ผู้คนก็เป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญมากเช่นกัน ครอบครัว เพื่อน และครูของคุณทุกคนต่างแบ่งปันความคิดและประสบการณ์กับคุณ พวกเขาช่วยให้คุณเรียนรู้คำศัพท์ ตัวเลข และวิธีการทำสิ่งต่างๆ ใหม่ๆ

เมื่อครูอธิบายให้ฟังว่าพืชเติบโตอย่างไร หรือเมื่อพ่อแม่ของคุณบอกคุณว่าทำไมฝนตก คุณจะได้เรียนรู้จากความรู้ของพวกเขา แต่ถึงแม้จะฟังคนอื่นพูด ก็ควรถามคำถามหากคุณไม่แน่ใจ

ตัวอย่างเช่น หากครูของคุณบอกว่าดวงจันทร์ช่วยให้มหาสมุทรเกิดน้ำขึ้นน้ำลง คุณอาจถามว่า "ดวงจันทร์ทำได้อย่างไร" เมื่อครูอธิบายด้วยคำง่ายๆ คุณจะเข้าใจมากขึ้น การถามคำถามจะช่วยให้คุณเรียนรู้ได้อย่างมีพลัง

หนังสือ เรื่องราว และวิธีการเรียนรู้อื่น ๆ

หนังสือและเรื่องราวเป็นแหล่งความรู้ที่น่าตื่นเต้น หนังสือจะเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับสถานที่อันห่างไกล สัตว์ต่างๆ และการผจญภัยที่น่าสนใจ เมื่อคุณอ่านหรือฟังเรื่องราว คุณจะได้รับแนวคิดและข้อเท็จจริง

บางครั้ง เรื่องราวอาจผสมผสานข้อเท็จจริงเข้ากับความมหัศจรรย์ได้ สิ่งสำคัญคือต้องคิดอย่างรอบคอบ ถามตัวเองว่า "สิ่งนี้เป็นไปได้จริงหรือ" หรือ "สิ่งนี้สอดคล้องกับสิ่งที่ฉันเรียนรู้หรือไม่" การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณฝึกการตั้งคำถาม วิธีนี้จะช่วยให้คุณเพลิดเพลินไปกับความมหัศจรรย์ของเรื่องราวในขณะที่จิตใจของคุณยังคงแจ่มใส

แม้แต่ตอนที่คุณดูการ์ตูนเรื่องโปรด คุณก็จะได้เรียนรู้ว่าตัวละครต่างๆ แก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งผู้คนใช้ประสาทสัมผัสและความคิดในการแก้ปัญหา

ความคลางแคลงใจในชีวิตประจำวันของเรา

ความคลางแคลงใจไม่ใช่การไม่ไว้ใจใคร แต่เป็นการตรวจสอบอย่างรอบคอบและตั้งคำถามที่ดี ในชีวิตประจำวัน คุณสามารถใช้ความคลางแคลงใจได้ในหลาย ๆ ด้าน

ลองนึกภาพว่าคุณได้ยินข่าวลือว่าสนามเด็กเล่นของโรงเรียนมีสไลเดอร์วิเศษ คุณอาจดูสไลเดอร์นั้นแล้วพบว่าเป็นสไลเดอร์ธรรมดาทั่วไป เมื่อถามว่า "สไลเดอร์วิเศษได้อย่างไร" คุณจะเรียนรู้ว่าบางครั้งเรื่องราวก็เป็นเพียงเรื่องสนุกๆ เท่านั้น

อีกตัวอย่างหนึ่ง หากมีคนบอกคุณว่ากล้วยสีน้ำเงินมีอยู่จริง คุณสามารถเดินไปที่ห้องครัว ดูกล้วย และพบว่ามันเป็นสีเหลือง การซักถามอย่างระมัดระวังจะช่วยให้คุณรู้ว่าอะไรเป็นความจริง

การเห็นและการคิด: สองวิธีในการรู้

มีสองวิธีที่สำคัญในการรับรู้สิ่งต่างๆ คือ การเห็นด้วยประสาทสัมผัส และการใช้สมองคิด ทั้งสองวิธีนี้มีความสำคัญและทำงานร่วมกัน

ตัวอย่างเช่น คุณอาจเห็นภาพสุนัขตัวใหญ่ ตาของคุณบอกคุณว่ามันตัวใหญ่และมีขนฟู จากนั้น สมองของคุณอาจคิดว่า "สุนัขเป็นสัตว์ที่เป็นมิตรและสนุกสนาน" การใช้ทั้งสองวิธีจะช่วยให้คุณเข้าใจภาพได้อย่างสมบูรณ์

เมื่อคุณผสมผสานการมองเห็นเข้ากับการคิด คุณจะกลายเป็นผู้เรียนที่เข้มแข็งขึ้น คุณกำลังเรียนรู้วิธีการตรวจสอบรายละเอียดและตัดสินใจว่าอะไรคือความจริง

ตัวอย่างของความคลางแคลงใจในสถานการณ์ประจำวัน

มาดูตัวอย่างง่ายๆ ของการใช้ความคลางแคลงใจทุกวันกัน:

ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการถามคำถามและตรวจสอบด้วยประสาทสัมผัสของคุณจะทำให้คุณคิดได้ดีขึ้น คุณจะเรียนรู้ที่จะไม่ไว้ใจเรื่องราวต่างๆ อย่างไร้เหตุผล

ทำไมการมีความสงสัยจึงเป็นสิ่งที่ดี

การมีความสงสัยเป็นสิ่งที่ดีเพราะช่วยให้คุณปกป้องตัวเองและเรียนรู้มากขึ้น เมื่อคุณถามคำถามที่ดี คุณจะไม่เชื่อสิ่งต่างๆ อย่างรวดเร็วเกินไป แต่คุณควรตรวจสอบว่าสิ่งเหล่านั้นสอดคล้องกับสิ่งที่คุณรู้หรือไม่

เหตุผลที่ความคลางแคลงใจเป็นสิ่งสำคัญมีดังนี้:

การใช้ความสงสัยทุกวันจะช่วยให้คุณฉลาดขึ้นและมั่นใจมากขึ้นในการรู้ว่าอะไรคือความจริง

การสำรวจโลกด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ความอยากรู้อยากเห็นเป็นแรงบันดาลใจให้การเรียนรู้เป็นเรื่องสนุก เมื่อคุณอยากรู้อยากเห็น คุณต้องการที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกที่อยู่รอบตัวคุณ ความอยากรู้อยากเห็นนี้มาคู่กับความสงสัย ในขณะที่คุณไว้ใจครอบครัวและครูของคุณ คุณยังถามตัวเองด้วยว่า "ฉันจะรู้ได้อย่างไรจริงๆ"

ตัวอย่างเช่น หากคุณเห็นดอกไม้ที่สวยงามในสวน คุณอาจถามว่า "ดอกไม้นี้ต้องการอะไรเพื่อเติบโต" โดยการถามคำถาม คุณจะเรียนรู้เกี่ยวกับน้ำ แสงแดด และดิน คำตอบเหล่านี้จะช่วยให้คุณดูแลสวนได้

ความอยากรู้อยากเห็นและความสงสัยร่วมกันจะทำให้คุณเป็นนักสำรวจที่ยอดเยี่ยมในชีวิตของคุณเอง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้คุณเข้าใจธรรมชาติ เพื่อนของคุณ และแม้แต่เรื่องราวที่คุณได้ยิน วิธีการเรียนรู้ที่ชาญฉลาดนี้มีค่าทุกวัน

การเรียนรู้และเติบโตด้วยคำถาม

ทุกคำถามที่คุณถามเปรียบเสมือนก้าวเล็กๆ บนเส้นทางอันยิ่งใหญ่ เมื่อคุณสงสัยว่า "ทำไมถึงเป็นเช่นนี้" คุณกำลังใช้สมองค้นหาความจริง นักวิทยาศาสตร์ ครู และนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่เริ่มต้นด้วยการถามคำถามง่ายๆ

ลองนึกถึงช่วงเวลาที่คุณอยากรู้ว่าสิ่งของบางอย่างทำงานอย่างไร อาจเป็นของเล่นใหม่หรือเกมใหม่ คุณถามว่า "มันเคลื่อนไหวอย่างไร" หรือ "ทำไมมันถึงมีเสียงแบบนั้น" คำถามเหล่านี้จะช่วยให้คุณเรียนรู้มากขึ้น นี่คือพลังของความอยากรู้และความสงสัย

การเตรียมพร้อมที่จะถามคำถามอยู่เสมอจะช่วยให้คุณมีความคิดที่มั่นคงและมีสุขภาพดี การพูดว่า "ฉันไม่รู้" ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

การเชื่อมต่อในโลกแห่งความเป็นจริง

ผู้คนจำนวนมากในโลกใช้การคิดอย่างรอบคอบเพื่อค้นหาความจริง แพทย์ถามคำถามเพื่อหาสาเหตุที่คนป่วย นักวิทยาศาสตร์ถามว่า "สิ่งเหล่านี้ทำงานอย่างไร" นักสืบถามคำถามมากมายเพื่อไขปริศนา ในแต่ละกรณี การถามคำถามและตรวจสอบข้อเท็จจริงช่วยให้พวกเขาทำงานได้ดี

ในชีวิตประจำวัน คุณสามารถใช้แนวคิดเดียวกันได้ เมื่อคุณได้ยินข่าวที่น่าตื่นเต้นหรือเรื่องราวแปลกๆ อย่าลืมถามคำถามและดูอย่างถี่ถ้วน การตรวจสอบอย่างรอบคอบนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าอะไรเป็นเรื่องจริงและอะไรอาจเป็นเพียงเรื่องราวสนุกๆ

การใช้ความสงสัยและประสาทสัมผัสเป็นส่วนหนึ่งของความปลอดภัยและความฉลาด ช่วยให้คุณเข้าใจโลกได้ดีขึ้นและทำให้คุณพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทุกวัน

การคงความอยากรู้อยากเห็นและปลอดภัย

ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ทุกวันเป็นวันแห่งการผจญภัย แต่การอยากรู้อยากเห็นยังหมายถึงการเรียนรู้ที่จะปลอดภัยอีกด้วย เมื่อคุณได้ยินอะไรบางอย่างที่ไม่ตรงกับประสบการณ์ของคุณเอง การถามว่า "ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนี้เป็นความจริง" ถือเป็นทางเลือกที่ดี การตรวจสอบอย่างรอบคอบนี้จะช่วยปกป้องคุณจากความคิดที่อาจไม่ถูกต้อง

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสไลด์มายากลหรือนิทานเกี่ยวกับสัตว์ที่พูดได้ การใช้ประสาทสัมผัสและการตั้งคำถามจะทำให้ความจริงปรากฏชัดขึ้น คุณจะเรียนรู้ที่จะเชื่อในข้อเท็จจริงที่สามารถมองเห็น รู้สึก หรือได้ยิน

การตัดสินใจในแต่ละวันและการคิดอย่างรอบคอบ

ในชีวิตประจำวัน คุณมักจะต้องตัดสินใจเลือกสิ่งต่างๆ เมื่อคุณใช้ความคิดอย่างรอบคอบและตั้งคำถาม คุณจะตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากคุณเคยเห็นอะไรบางอย่างที่ดูน่าทึ่งเกินกว่าจะเป็นจริง คุณสามารถใช้เวลาสักครู่เพื่อตรวจสอบดูก่อน

นี่อาจหมายถึงการมองดูด้วยตาของคุณอย่างระมัดระวังหรือขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณเรียนรู้ที่จะตัดสินว่าสิ่งใดน่าสนใจและเป็นจริงหรือไม่ การคิดอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณแก้ปัญหาและเข้าใจโลกตามความเป็นจริง

จำไว้ว่าสมองของคุณก็เหมือนนักสืบตัวน้อยๆ ทุกครั้งที่คุณถามว่า "ฉันจะรู้ได้อย่างไร" คุณกำลังรวบรวมเบาะแสที่นำคุณไปสู่ความจริง

การเรียนรู้ว่าเรารู้ได้อย่างไร

การเรียนรู้ว่าเรารู้จักสิ่งต่างๆ อย่างไรเป็นการผจญภัยอย่างหนึ่ง เสมือนกับการนำชิ้นส่วนต่างๆ ของปริศนามาต่อเข้าด้วยกัน ข้อเท็จจริงแต่ละข้อ คำถามแต่ละข้อ และประสบการณ์แต่ละอย่างคือชิ้นส่วนที่ช่วยให้ภาพรวมของโลกที่อยู่รอบตัวคุณสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

คุณเรียนรู้ไม่เพียงแต่จากสิ่งที่คุณเห็นหรือได้ยินเท่านั้น แต่ยังมาจากการคิดและการตั้งคำถามด้วย สิ่งนี้ทำให้จิตใจของคุณเข้มแข็งขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะเรียนรู้ที่จะตัดสินใจว่าข้อมูลชิ้นใดจะพอดีกันเพื่อแสดงให้คุณเห็นภาพรวมที่แท้จริงของการทำงานของสิ่งต่างๆ

ด้วยวิธีนี้ คุณจะกลายเป็นผู้เรียนที่รอบคอบและฉลาด คุณจะพร้อมเสมอที่จะสำรวจ ตั้งคำถาม และค้นพบ

สรุปประเด็นสำคัญ

ในบทเรียนนี้ เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับความคลางแคลงใจและแหล่งที่มาของความรู้ ต่อไปนี้คือแนวคิดหลักที่ควรจำไว้:

อย่าลืมว่าการเรียนรู้จากครอบครัว ครู และหนังสือนั้นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม แต่การใช้สายตาและสมองของคุณเองก็มีส่วนสำคัญในการทำความเข้าใจโลกที่อยู่รอบตัวคุณ ฝึกความอยากรู้อยากเห็นและถามคำถามเล็กๆ น้อยๆ ทุกวัน การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณเรียนรู้ว่าอะไรคือความจริง

ใช้ประสาทสัมผัสของคุณในการมองเห็นและรู้สึก และปล่อยให้จิตใจของคุณคิดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณเรียนรู้ วิธีนี้จะทำให้คุณกลายเป็นผู้แก้ปัญหาที่รอบคอบและผู้เรียนที่ฉลาดและอยากรู้อยากเห็น สนุกกับการเรียนรู้และอย่าหยุดถามว่าสิ่งต่างๆ ทำงานอย่างไร!

Download Primer to continue