บทเรียนนี้จะช่วยให้คุณเรียนรู้พื้นฐานของสมการในรูปแบบที่เรียบง่าย สมการเปรียบเสมือนปริศนาเล็กๆ หรือรหัสลับในทางคณิตศาสตร์ สมการใช้ตัวเลข ตัวอักษร และสัญลักษณ์เพื่อแสดงว่าสิ่งสองสิ่งเท่ากัน สมการมีประโยชน์มากเพราะช่วยให้เราค้นหาตัวเลขที่หายไปและแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ ในบทเรียนนี้ เราจะอธิบายว่าสมการคืออะไร อธิบายส่วนประกอบต่างๆ ของสมการ แสดงวิธีแก้สมการง่ายๆ และดูตัวอย่างในโลกแห่งความเป็นจริง
สมการเป็นประโยคพิเศษทางคณิตศาสตร์ ประโยคนี้บอกเราว่าสิ่งที่อยู่ทางด้านซ้ายมือเป็นค่าเดียวกันกับสิ่งที่อยู่ทางด้านขวามือ สัญลักษณ์ที่แสดงสมการนี้คือเครื่องหมายเท่ากับ เขียนเป็น = ตัวอย่างเช่น ในสมการ <code> \(3+2=5\) </code> ตัวเลขทางด้านซ้ายมือ 3+2 มีค่าเท่ากับตัวเลข 5 ทางด้านขวามือ นี่คือสาเหตุที่เราบอกว่าทั้งสองด้านเท่ากัน สมการจะมีสองด้านเสมอ และทั้งสองด้านจะต้องมีค่าเท่ากันเมื่อทำการคำนวณ
ลองนึกถึงสมการเป็นกระดานหกที่สมดุล เมื่อทั้งสองด้านสมดุล กระดานหกก็จะคงระดับเดียวกัน ในสมการ หากเราเปลี่ยนด้านหนึ่ง เราต้องทำสิ่งเดียวกันกับอีกด้านหนึ่งเพื่อไม่ให้สมดุลเปลี่ยนไป สมการช่วยให้เราเข้าใจตัวเลขได้โดยทำให้ทั้งสองด้านเท่ากัน
สมการมีหลายส่วน ส่วนหลักๆ ได้แก่:
ตัวเลข: คือหลักที่เราใช้ในทางคณิตศาสตร์ เช่น 1, 2, 3, 4 เป็นต้น
ตัวแปร: ตัวแปรคือตัวอักษรที่แทนค่าตัวเลขที่ไม่ทราบค่า ตัวแปรที่พบมากที่สุดคือ <code> \(x\) </code> เมื่อคุณเห็น <code> \(x\) </code> ในสมการ แสดงว่ามีจำนวนที่เราต้องหา
การดำเนินการ: เป็นสัญลักษณ์ที่บอกคุณว่าต้องทำอะไรกับตัวเลข การดำเนินการทั่วไป ได้แก่ การบวก ( + ) การลบ ( - ) การคูณ ( × หรือ * ) และการหาร ( ÷ หรือ / )
เครื่องหมายเท่ากับ: เครื่องหมายนี้ ( = ) บอกเราว่าค่าทางด้านซ้ายเท่ากับค่าทางด้านขวาทุกประการ
เมื่อเราเขียนสมการ เราจะตั้งกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ว่าทั้งสองด้านจะต้องสมดุล เช่นเดียวกับภาชนะสองใบของตาชั่ง
เครื่องหมายเท่ากับ ( = ) มีความสำคัญมากในสมการทุกสมการ หมายความว่าสิ่งที่อยู่ทางซ้ายจะเท่ากับสิ่งที่อยู่ทางขวา ตัวอย่างเช่น ในสมการ <code> \(4+1=5\) </code> นิพจน์ทางซ้าย 4+1 มีค่าเท่ากับตัวเลข 5 ทางขวา คุณสามารถคิดว่าเครื่องหมายเท่ากับเป็นสะพานเชื่อมทั้งสองด้านของสมการเพื่อให้แน่ใจว่าเท่ากัน
ลองนึกภาพสนามเด็กเล่นที่มีชิงช้าสวรรค์ หากเด็กสองคนเล่นบนชิงช้าสวรรค์ เด็กจะต้องทรงตัวให้ได้ หากเด็กคนหนึ่งมีน้ำหนักมากกว่า ชิงช้าสวรรค์ก็จะเอียง ในสมการ หากคุณทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปด้านหนึ่ง คุณก็ต้องทำสิ่งนั้นกับอีกด้านหนึ่งด้วยเพื่อรักษาสมดุล การเรียนรู้ที่จะรักษาสมดุลของสมการเป็นส่วนสำคัญมากในการแก้สมการเหล่านี้
มาดูสมการง่ายๆ กัน สมการเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าสมการทำงานอย่างไร
ตัวอย่างเช่น พิจารณาสมการ:
\(3+2=5\) </รหัส>
ซึ่งหมายความว่าเมื่อเราบวก 3 กับ 2 เราจะได้ 5 ทั้งสองข้างเท่ากัน ตัวอย่างอื่นคือ:
\(4+1=5\) </รหัส>
อีกครั้ง 4 บวก 1 เท่ากับ 5 ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าทั้งสองด้านของสมการมีค่าเท่ากัน และนั่นคือสิ่งที่ทำให้สมการเป็นจริง
บางครั้งสมการจะมีตัวเลขที่ไม่ทราบค่าซึ่งเราต้องค้นหา เราเรียกตัวเลขที่ไม่ทราบค่านั้นว่าตัวแปร ในชั้นประถมศึกษา ตัวแปรที่พบมากที่สุดคือ <code> \(x\) </code> เมื่อเราเห็นสมการเช่น <code> \(x+3=8\) </code> เราจำเป็นต้องค้นหาว่า <code> \(x\) </code> แสดงถึงตัวเลขใด
ในการแก้สมการง่ายๆ เช่นนี้ เราจะต้องทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ สิ่งสำคัญคือต้องทำขั้นตอนเดียวกันทั้งสองด้านของสมการ วิธีนี้จะช่วยให้สมการสมดุล ขั้นตอนทั่วไปมีดังนี้:
ขั้นตอนที่ 1: ดูสมการอย่างรอบคอบ
ขั้นตอนที่ 2: ระบุการดำเนินการที่ต้องการยกเลิก ในสมการ <code> \(x+3=8\) </code> การดำเนินการคือการบวก 3
ขั้นตอนที่ 3: ทำตรงข้ามกับการดำเนินการทั้งสองด้าน สำหรับการบวก เราใช้การลบ
ขั้นตอนที่ 4: แก้หาตัวแปร
ขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้คุณหาค่าของสิ่งที่ไม่รู้ได้ ตอนนี้มาดูตัวอย่างที่แก้ได้แล้วกัน
ในตัวอย่างนี้ เราต้องการค้นหาตัวเลขที่ <code> \(x\) </code> แสดงอยู่ในสมการ <code> \(x+3=8\) </code> ทำตามขั้นตอนง่ายๆ เหล่านี้:
ขั้นตอนที่ 1: เขียนสมการ: <code> \(x+3=8\) </code>
ขั้นตอนที่ 2: หากต้องการลบ 3 ที่บวกกับ <code> \(x\) </code> ให้ลบ 3 ออกจากทั้งสองข้าง ซึ่งจะได้ดังนี้: <code> \(x+3-3=8-3\) </code>
ขั้นตอนที่ 3: ลดรูปทั้งสองด้าน ด้านซ้ายจะกลายเป็น <code> \(x\) </code> และด้านขวาจะกลายเป็น 5 ดังนั้นเราจะได้: <code> \(x=5\) </code>
ขั้นตอนที่ 4: ตรวจสอบคำตอบโดยแทนที่ <code> \(x\) </code> กลับเข้าไปในสมการเดิม เนื่องจาก <code> \(5+3=8\) </code> เป็นจริง ค่า <code> \(x=5\) </code> จึงถูกต้อง
ตัวอย่างนี้แสดงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตัวแปรถูกคูณด้วยตัวเลข ในสมการ <code> \(2x=10\) </code> เราต้องการหาค่าของ <code> \(x\) </code> ที่ทำให้สมการเป็นจริง
ขั้นตอนที่ 1: เขียนสมการ: <code> \(2x=10\) </code>
ขั้นตอนที่ 2: ตัวแปร <code> \(x\) </code> คูณด้วย 2 หากต้องการยกเลิก ให้หารทั้งสองข้างของสมการด้วย 2 ซึ่งจะได้ดังนี้: <code> \(2x/2=10/2\) </code>
ขั้นตอนที่ 3: ลดรูปทั้งสองด้าน ด้านซ้ายลดรูปเป็น <code> \(x\) </code> และด้านขวาลดรูปเป็น 5 ดังนั้นเราจะได้: <code> \(x=5\) </code>
ขั้นตอนที่ 4: ตรวจสอบผลลัพธ์โดยแทนค่า 5 ลงในสมการเดิม เนื่องจาก <code> \(2\times5=10\) </code> เป็นจริง คำตอบจึงถูกต้อง
ในตัวอย่างนี้ สมการคือ <code> \(x-2=5\) </code> โดยที่ตัวแปร <code> \(x\) </code> จะลดลง 2 เพื่อหา <code> \(x\) </code> เราต้องทำการดำเนินการตรงกันข้าม
ขั้นตอนที่ 1: เขียนสมการ: <code> \(x-2=5\) </code>
ขั้นตอนที่ 2: หากต้องการลบ 2 ให้บวก 2 ทั้งสองข้าง ซึ่งจะทำให้ได้ผลลัพธ์ดังนี้: <code> \(x-2+2=5+2\) </code>
ขั้นตอนที่ 3: ลดรูปทั้งสองด้าน ด้านซ้ายจะกลายเป็น <code> \(x\) </code> และด้านขวาจะกลายเป็น 7 ดังนั้นเราจะได้: <code> \(x=7\) </code>
ขั้นตอนที่ 4: ตรวจสอบคำตอบโดยแทนที่ <code> \(x\) </code> ด้วย 7 ในสมการเดิม เนื่องจาก <code> \(7-2=5\) </code> เป็นจริง คำตอบจึงได้รับการตรวจสอบ
สมการไม่ได้พบแค่ในหนังสือคณิตศาสตร์เท่านั้น แต่ยังใช้ในกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ลองนึกภาพตอนที่คุณแบ่งขนมกับเพื่อน ถ้าคุณมีขนมอยู่บ้างและต้องการแบ่งเท่าๆ กัน คุณสามารถใช้สมการเพื่อหาว่าเพื่อนแต่ละคนจะได้ขนมกี่ชิ้น
ลองนึกภาพว่าคุณมีถุงขนมเล็กๆ คุณไม่ทราบจำนวนขนมที่แน่ชัด แต่คุณทราบว่าหากได้รับขนมเพิ่มอีก 3 ถุง จะมีทั้งหมด 8 ถุง สถานการณ์นี้สามารถเขียนเป็นสมการ <code> \(x+3=8\) </code> เมื่อคุณแก้สมการนี้ คุณจะรู้ว่า <code> \(x=5\) </code> ซึ่งแสดงว่าคุณเริ่มต้นด้วยขนม 5 ถุง
ตัวอย่างอื่น ๆ เช่น เมื่อคุณไปช้อปปิ้ง หากคุณทราบว่าคุณมีเงินเท่าไร และคุณซื้อของเล่นที่ราคาหนึ่ง ๆ คุณสามารถใช้สมการเพื่อคำนวณว่าคุณจะมีเงินเหลืออยู่เท่าไร สมการช่วยให้เราวางแผนการใช้เงินและทำให้ทุก ๆ อย่างรวมกันถูกต้อง
สมการก็มีประโยชน์ในการทำอาหารเช่นกัน เมื่อสูตรอาหารระบุปริมาณส่วนผสมที่ต้องการและคุณต้องการปรับสูตร คุณสามารถใช้สมการง่ายๆ เพื่อให้ได้ปริมาณที่เหมาะสม สมการช่วยติดตามส่วนประกอบและผลรวมในลักษณะที่สมเหตุสมผล
สมการมีคุณสมบัติสำคัญบางประการที่ช่วยให้เราแก้สมการได้อย่างถูกต้อง คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยให้แน่ใจว่าสมการจะคงความสมดุลไว้ คุณสมบัติที่สำคัญที่สุด ได้แก่:
คุณสมบัติการบวก: คุณสามารถเพิ่มตัวเลขเดียวกันลงในทั้งสองด้านของสมการได้โดยไม่เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ ตัวอย่างเช่น หากคุณมี <code> \(x=5\) </code> การบวก 2 ลงในทั้งสองด้านจะได้ <code> \(x+2=5+2\) </code> ซึ่งยังคงสมดุลอยู่
คุณสมบัติการลบ: คุณสามารถลบตัวเลขเดียวกันออกจากทั้งสองด้านได้ หากสมการคือ <code> \(x+3=8\) </code> การลบ 3 ออกจากทั้งสองด้านจะได้ <code> \(x=5\) </code>
คุณสมบัติการคูณ: คุณสามารถคูณทั้งสองด้านด้วยตัวเลขเดียวกันได้โดยไม่เปลี่ยนความเท่ากัน ตัวอย่างเช่น หาก <code> \(x=5\) </code> การคูณทั้งสองด้านด้วย 2 จะได้ <code> \(2x=10\) </code>
คุณสมบัติการหาร: คุณสามารถหารทั้งสองข้างด้วยตัวเลขเดียวกันได้ (ยกเว้นศูนย์) และสมการจะสมดุล ตัวอย่างเช่น <code> \(2x=10\) </code> จะกลายเป็น <code> \(x=5\) </code> เมื่อทั้งสองข้างหารด้วย 2
คุณสมบัติเหล่านี้เปรียบเสมือนกฎในเกม ช่วยให้เราเลื่อนตัวเลขไปมาได้ในขณะที่สมการยังคงถูกต้อง
ตัวแปรคือตัวอักษรที่แทนค่าตัวเลขที่ไม่ทราบค่า ในสมการจำนวนมาก คุณจะเห็นตัวอักษร <code> \(x\) </code> ถูกใช้เป็นตัวแปร ตัวอย่างเช่น ในสมการ <code> \(x+3=8\) </code> ตัวอักษร <code> \(x\) </code> คือตัวแปร เราไม่ทราบค่าของมันในตอนต้น แต่เราสามารถหาค่าของมันได้โดยการแก้สมการ
ลองนึกภาพตัวแปรเป็นกล่องปริศนา คุณจะไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรจนกว่าคุณจะไขปริศนาได้ ทุกครั้งที่คุณแก้สมการด้วยตัวแปร คุณกำลังค้นพบค่าที่ไม่รู้จักซึ่งทำให้สมการนั้นเป็นจริง ตัวแปรช่วยให้เราทำงานกับตัวเลขได้ แม้ว่าเราจะไม่รู้ค่าของมันทันทีก็ตาม
มาทบทวนขั้นตอนที่ชัดเจนที่คุณสามารถปฏิบัติตามได้เมื่อแก้สมการง่ายๆ กัน:
ขั้นตอนที่ 1: อ่านสมการอย่างละเอียดและระบุส่วนต่างๆ มองหาตัวเลข การดำเนินการ และตัวแปร
ขั้นตอนที่ 2: ตัดสินใจว่าการดำเนินการใดที่ทำให้มองเห็นตัวเลขที่ไม่รู้จักได้ยาก เป็นการบวก ลบ คูณ หรือการหาร
ขั้นตอนที่ 3: ทำการดำเนินการตรงกันข้ามกับทั้งสองด้านของสมการ ตัวอย่างเช่น หากมีการบวก ให้ลบตัวเลขเดียวกันออกจากทั้งสองด้าน
ขั้นตอนที่ 4: ลดรูปสมการ เป้าหมายคือการมีตัวแปรเพียงตัวเดียวอยู่ด้านหนึ่ง
ขั้นตอนที่ 5: ตรวจสอบผลลัพธ์ของคุณ แทนที่ตัวแปรด้วยคำตอบของคุณเพื่อให้แน่ใจว่าทั้งสองข้างยังคงเท่ากัน
การทำตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้คุณแก้สมการได้ทีละขั้นตอน เหมือนกับการลอกชั้นหัวหอมออกจนกว่าจะพบคำตอบที่ซ่อนอยู่
สมการสามารถเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานและน่าตื่นเต้นได้ สมการเปรียบเสมือนปริศนาที่ต้องใช้สมองในการแก้ ทุกครั้งที่คุณแก้สมการ คุณจะกลายเป็นนักสืบตัวน้อยที่ใช้เบาะแสในการหาตัวเลขที่หายไป เมื่อคุณฝึกฝนมากขึ้น คุณจะพบว่าสมการช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น และแสดงให้คุณเห็นว่าคณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ
การทรงตัวของสมการได้นั้นก็เหมือนกับการทรงตัวบนชิงช้า เมื่อด้านหนึ่งลอยขึ้น อีกด้านก็ต้องลอยขึ้นด้วย แนวคิดเรื่องความสมดุลนี้มีความสำคัญในหลายๆ ด้านของชีวิตเรา ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปันของเล่นหรือการวัดส่วนผสมสำหรับสูตรอาหาร
ลองมาดูสถานการณ์ในชีวิตประจำวันบางสถานการณ์ที่สามารถใช้สมการได้ ลองนึกภาพว่าคุณมีกระปุกออมสินเล็กๆ คุณไม่แน่ใจว่าคุณมีเงินเท่าไรจนกว่าจะนับเหรียญ สมมติว่าเมื่อคุณเพิ่มเหรียญอีก 3 เหรียญ คุณจะมีเหรียญทั้งหมด 8 เหรียญ สถานการณ์นี้สามารถอธิบายได้ด้วยสมการ <code> \(x+3=8\) </code> การแก้สมการจะแสดงให้เห็นว่าคุณมี <code> \(x=5\) </code> เหรียญก่อนที่คุณจะเพิ่มเหรียญที่เหลือ
ตัวอย่างอื่น ๆ เช่น เมื่อคุณกำลังจัดโต๊ะสำหรับงานปาร์ตี้ ลองนึกภาพว่าคุณมีเก้าอี้จำนวนหนึ่ง แต่คุณไม่รู้ว่ามีกี่ตัว หากคุณเพิ่มอีก 2 ตัวและได้เก้าอี้ 10 ตัว คุณสามารถใช้สมการ <code> \(x+2=10\) เพื่อหา <code> \(x=8\) </code> ได้ ซึ่งแสดงว่าเดิมทีคุณมีเก้าอี้ 8 ตัว
แม้แต่ในขณะที่อบขนม คุณอาจใช้แนวคิดเบื้องหลังสมการ หากสูตรระบุว่าการผสมส่วนผสมในชามใบเดียวแล้วเพิ่มส่วนผสมอีกสองสามอย่างจะทำให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน แสดงว่าคุณกำลังใช้สมการเพื่อสร้างสมดุลให้กับส่วนผสมแต่ละส่วน สมการจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าส่วนผสมต่างๆ รวมกันเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมได้อย่างไร
ในบทเรียนนี้ เราจะเรียนรู้ว่าสมการคืออะไร และเรียนรู้ว่าสมการคือประโยคคณิตศาสตร์ที่แสดงสิ่งสองสิ่งที่มีขนาดเท่ากัน เครื่องหมายเท่ากับ ( = ) มีบทบาทสำคัญมาก โดยทำหน้าที่เหมือนสะพานที่รักษาสมดุลระหว่างสองข้าง
เราเรียนรู้เกี่ยวกับส่วนต่างๆ ของสมการ:
ตัวเลข: หลักที่เราใช้ในการคณิตศาสตร์
ตัวแปร: ตัวอักษรที่แทนค่าที่ไม่รู้จัก เช่น <code> \(x\) </code>
การดำเนินการ: เครื่องหมายสำหรับการบวก การลบ การคูณ และการหาร
เครื่องหมายเท่ากับ: สัญลักษณ์ที่แสดงว่าทั้งสองด้านเท่ากัน
นอกจากนี้ เรายังหารือถึงวิธีการแก้สมการง่ายๆ ด้วยการทำการคำนวณแบบเดียวกันทั้งสองด้าน เราจะสามารถรักษาสมการให้สมดุลได้ เราได้เห็นแล้วว่าหากเราบวก ลบ คูณ หรือหารด้านหนึ่ง เราจะต้องทำสิ่งเดียวกันนี้กับอีกด้านหนึ่งด้วย
มีตัวอย่างสมการที่แก้แล้วสามตัวอย่าง:
ตัวอย่างที่ 1: การแก้ <code> \(x+3=8\) </code> โดยการลบ 3 แสดงให้เห็นว่า <code> \(x=5\) </code>
ตัวอย่างที่ 2: การแก้ <code> \(2x=10\) </code> โดยการหารด้วย 2 จะได้ <code> \(x=5\) </code>
ตัวอย่างที่ 3: แก้ <code> \(x-2=5\) </code> โดยการบวก 2 ผลลัพธ์คือ <code> \(x=7\) </code>
เราลองนำสมการไปใช้ในโลกแห่งความเป็นจริง เช่น การแบ่งขนม การนับเหรียญ และการแก้ปัญหาเมื่อต้องซื้อของ สมการช่วยให้เราเข้าใจและแก้ปริศนาในชีวิตประจำวันได้
จำไว้ว่าสมการก็เหมือนกับสูตรอาหารหรือตาชั่งที่สมดุล ซึ่งจะบอกให้คุณทราบว่าส่วนสองส่วนเท่ากันเมื่อใช้การคำนวณที่ถูกต้อง อย่าลืมตรวจสอบงานของคุณเสมอโดยแทนที่ตัวแปรด้วยตัวเลขที่คุณพบ
การใช้คุณสมบัติของสมการ เช่น คุณสมบัติการบวก การลบ การคูณ และการหาร จะช่วยให้คุณแก้ปัญหาได้หลายประเภท แนวคิดเหล่านี้ทำให้คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ชัดเจนและมีเหตุผล ซึ่งสามารถนำไปใช้ในสถานการณ์จริงได้หลายสถานการณ์
ทำได้ดีมากที่ผ่านบทเรียนนี้ไปได้! เรียนรู้และแก้สมการต่อไป แล้วคุณจะมั่นใจมากขึ้นในการจัดการกับตัวเลขและปริศนาในแต่ละวัน