ในบทเรียนนี้ เราจะมาศึกษาว่าสมการคืออะไรและจะระบุด้านของสมการได้อย่างไร สมการคือข้อความที่แสดงว่านิพจน์สองนิพจน์เท่ากัน ส่วนต่างๆ ของสมการที่อยู่ด้านใดด้านหนึ่งของเครื่องหมายเท่ากับ ( = ) เรียกว่าด้านซ้าย (LHS) และด้านขวา (RHS) บทเรียนนี้ใช้ภาษาที่เรียบง่าย ประโยคสั้นๆ และตัวอย่างจากชีวิตประจำวัน เราจะเรียนรู้การเห็นสมดุลในสมการเช่นเดียวกับกระดานหกหรือตาชั่งที่สมดุล
สมการก็เหมือนประโยคพิเศษในทางคณิตศาสตร์ มันบอกเราว่าสิ่งสองสิ่งเหมือนกัน มองหาเครื่องหมายเท่ากับ ( = ) ในสมการ ทุกอย่างก่อนเครื่องหมายเท่ากับคือด้านซ้าย และทุกอย่างหลังจากนั้นคือด้านขวา
ตัวอย่างเช่น ในสมการ \(3 + 4 = 7\) ด้านซ้ายมือคือ \(3 + 4\) และด้านขวามือคือ \(7\) ซึ่งหมายความว่าผลรวมของ \(3\) และ \(4\) เท่ากับ \(7\)
ลองนึกภาพชิงช้าในสนามเด็กเล่น เมื่อทั้งสองด้านมีน้ำหนักเท่ากัน ชิงช้าก็จะสมดุล สมการจะทำงานในลักษณะเดียวกัน หากทั้งสองด้านของเครื่องหมายเท่ากับมีค่าเท่ากัน สมการก็จะสมดุลและถูกต้อง
ด้านซ้ายมือ (LHS) ของสมการคือค่าทั้งหมดที่เขียนก่อนเครื่องหมายเท่ากับ ด้านขวามือ (RHS) คือค่าทั้งหมดที่เขียนหลังเครื่องหมายเท่ากับ ทั้งสองด้านนี้จะต้องมีค่าเท่ากันจึงจะถือว่าสมการเป็นจริง
พิจารณาสมการ \(5 + 2 = 7\) ด้านซ้ายคือ \(5 + 2\) และด้านขวาคือ \(7\) เมื่อคุณบวก \(5\) และ \(2\) คำตอบคือ \(7\) พิสูจน์ว่าสมการสมดุล
บางครั้งสมการอาจมีมากกว่าหนึ่งพจน์ในแต่ละด้าน ลองดูสมการ \(1 + 4 = 2 + 3\) ด้านซ้ายคือ \(1 + 4\) และด้านขวาคือ \(2 + 3\) เมื่อคุณบวกตัวเลขเข้าด้วยกัน แต่ละด้านจะได้ \(5\) ซึ่งหมายความว่าด้านทั้งสองเท่ากัน
การระบุด้านของสมการช่วยให้เราเห็นความสมดุลในทางคณิตศาสตร์ เมื่อคุณรู้ว่าส่วนไหนเป็นด้านซ้ายและส่วนไหนเป็นด้านขวา คุณก็สามารถตรวจสอบได้ว่าสมการนั้นถูกต้องหรือไม่ เช่นเดียวกับการชั่งน้ำหนักหรือแบ่งปันของเล่น ทั้งสองด้านต้องยุติธรรมและเท่าเทียมกัน
หากคุณเพิ่มหรือลบบางสิ่งบางอย่างจากด้านหนึ่ง คุณต้องทำแบบเดียวกันนี้กับอีกด้านหนึ่งเพื่อรักษาสมดุล ในชีวิตประจำวันของเรา มีหลายๆ อย่างที่ต้องการความสมดุล เช่น การทำอาหารตามสูตรอาหารหรือการแบ่งขนมกับเพื่อน แนวคิดเรื่องความยุติธรรมมีความสำคัญมาก และในทางคณิตศาสตร์ก็เช่นเดียวกัน
ขั้นตอนที่ 1: ดูสมการและหาเครื่องหมายเท่ากับ ( = )
ขั้นตอนที่ 2: ตัวเลขและสัญลักษณ์ทั้งหมดก่อนเครื่องหมายเท่ากับประกอบกันเป็นด้านซ้ายมือ (LHS)
ขั้นตอนที่ 3: ตัวเลขและสัญลักษณ์ทั้งหมดหลังเครื่องหมายเท่ากับประกอบเป็นด้านขวามือ (RHS)
ตัวอย่างเช่น ในสมการ \(6 + 1 = 7\) ด้านซ้ายมือคือ \(6 + 1\) และด้านขวามือคือ \(7\) การจดจำรูปแบบนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความหมายของสมการ
ปัญหา: ระบุด้านซ้ายมือและด้านขวามือในสมการ \(2 + 3 = 5\)
ขั้นตอนที่ 1: ดูสมการและหาเครื่องหมายเท่ากับ ( = )
ขั้นตอนที่ 2: ด้านซ้ายมือคือส่วนก่อนเครื่องหมายเท่ากับ ซึ่งก็คือ \(2 + 3\)
ขั้นตอนที่ 3: ด้านขวามือคือส่วนหลังเครื่องหมายเท่ากับ ซึ่งก็คือ \(5\)
สรุป: ในสมการ \(2 + 3 = 5\) ด้านซ้ายมือคือ \(2 + 3\) และด้านขวามือคือ \(5\)
ปัญหา: ระบุด้านในสมการ \(1 + 4 = 2 + 3\)
ขั้นตอนที่ 1: หาเครื่องหมายเท่ากับ ( = )
ขั้นตอนที่ 2: เขียนพจน์ทั้งหมดทางซ้ายของเครื่องหมายเท่ากับ: \(1 + 4\)
ขั้นตอนที่ 3: เขียนพจน์ทั้งหมดทางขวาของเครื่องหมายเท่ากับ: \(2 + 3\)
ขั้นตอนที่ 4: ตรวจสอบโดยบวกตัวเลข: \(1 + 4 = 5\) และ \(2 + 3 = 5\) ทั้งสองข้างมีค่าเท่ากัน
สรุป: สมการ \(1 + 4 = 2 + 3\) สมดุล โดยด้านซ้ายมือคือ \(1 + 4\) และด้านขวามือคือ \(2 + 3\) ซึ่งทั้งสองบวกกันได้ \(5\)
ปัญหา: ระบุด้านในสมการ \(x + 2 = 5\)
ขั้นตอนที่ 1: ดูสมการ \(x + 2 = 5\) และหาเครื่องหมายเท่ากับ ( = )
ขั้นตอนที่ 2: ด้านซ้ายมือคือทุกสิ่งทุกอย่างก่อนเครื่องหมายเท่ากับซึ่งก็คือ \(x + 2\)
ขั้นตอนที่ 3: ด้านขวามือคือทุกอย่างหลังเครื่องหมายเท่ากับ ซึ่งก็คือ \(5\)
สรุป: ในสมการ \(x + 2 = 5\) ด้านซ้ายมือคือ \(x + 2\) และด้านขวามือคือ \(5\) ซึ่งแสดงให้เห็นโครงสร้างของสมการแม้ว่าจะมีตัวอักษรเป็นส่วนหนึ่งก็ตาม
ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจัดโต๊ะอยู่ ด้านหนึ่งของโต๊ะมีถ้วย 3 ใบ และอีกด้านหนึ่งมีจาน 3 ใบ โต๊ะจึงสมดุลเพราะทั้งสองด้านมีจำนวนของเท่ากัน ลองนึกภาพว่าถ้วยและจานเป็นด้านซ้ายและด้านขวาของสมการ
ตัวอย่างในชีวิตประจำวันอีกประการหนึ่งคือการแบ่งปันคุกกี้กับเพื่อน หากคุณมีคุกกี้ 4 ชิ้นและคุณให้เพื่อนไป 2 ชิ้น คุณจะต้องมีคุกกี้เหลืออยู่เพื่อให้กระบวนการแบ่งปันทั้งสองส่วนมีความยุติธรรม แนวคิดคือการแบ่งปันทั้งสองด้านจะต้องเท่าเทียมกัน เช่นเดียวกับในสมการ
เรื่องราวเช่นนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าความสมดุลมีความสำคัญ ไม่เพียงแต่ในคณิตศาสตร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงในชีวิตประจำวันด้วย เช่นเดียวกับที่เราต้องแน่ใจว่าทุกคนได้รับคุกกี้หรือของเล่นอย่างเท่าเทียมกัน เราก็ต้องแน่ใจว่าทั้งสองด้านของสมการนั้นเท่ากันด้วย
เครื่องหมายเท่ากับ ( = ) เป็นส่วนที่สำคัญมากของสมการ เครื่องหมายนี้บอกเราว่าสิ่งใดก็ตามที่อยู่ทางด้านซ้ายและสิ่งใดก็ตามที่อยู่ทางด้านขวาจะมีค่าเท่ากัน ลองนึกถึงเครื่องหมายเท่ากับเส้นตรงสมบูรณ์ที่แบ่งสมการออกเป็นสองส่วนที่สมดุลกัน
หากด้านหนึ่งหนัก (หรือใหญ่) และอีกด้านเบา (หรือเล็ก) สมการจะใช้ไม่ได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณเห็น \(7 - 2 = 5\) การลบที่ด้านซ้ายมือจะได้ \(5\) ซึ่งตรงกับด้านขวามือ แสดงว่าทั้งสองด้านเท่ากันและสมการใช้ได้ผลถูกต้อง
เครื่องหมายเท่ากับเปรียบเสมือนจุดนัดพบที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ ทุกครั้งที่คุณเห็นสมการ ให้ดูที่เครื่องหมายเท่ากับก่อน เครื่องหมายเท่ากับเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจว่าส่วนไหนอยู่ทางซ้ายและส่วนไหนอยู่ทางขวา
การระบุด้านของสมการไม่เพียงแต่มีความสำคัญสำหรับงานในห้องเรียนเท่านั้น แต่ยังช่วยในการแก้ปัญหาในชีวิตจริงได้มากมาย ต่อไปนี้คือตัวอย่างในชีวิตประจำวัน:
การทำความเข้าใจสมการและส่วนประกอบของสมการจะช่วยให้คุณคิดอย่างมีตรรกะและชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ แนวคิดเรื่องความสมดุลสามารถนำไปใช้ได้กับหลายส่วนของชีวิต เมื่อทุกอย่างสมดุลแล้ว ความยุติธรรมและความเท่าเทียมก็จะคงอยู่ต่อไป
บางครั้งคุณอาจเจอสมการที่ไม่ทำงาน ตัวอย่างเช่น ลองพิจารณาสมการ \(3 + 1 = 5\) ด้านซ้ายมือคือ \(3 + 1\) ซึ่งเท่ากับ \(4\) ในขณะที่ด้านขวามือคือ \(5\) เนื่องจาก \(4\) ไม่เท่ากับ \(5\) สมการนี้จึงไม่เป็นจริง
การตรวจสอบด้านใดเป็นด้านใดช่วยให้เราตรวจจับข้อผิดพลาดได้เร็วยิ่งขึ้น หากคุณสังเกตเห็นว่าด้านหนึ่งมีค่าไม่เท่ากับอีกด้าน แสดงว่าเกิดข้อผิดพลาดขึ้น ซึ่งคล้ายกับการชั่งน้ำหนักของเล่น หากด้านใดด้านหนึ่งมีน้ำหนักมากกว่า คุณจะสังเกตเห็นได้ในทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เมื่อคุณฝึกฝนมากขึ้น คุณจะเรียนรู้ที่จะใส่ใจกับส่วนต่างๆ ของสมการแต่ละสมการมากขึ้น การระบุด้านซ้ายและด้านขวาจะทำให้มองเห็นข้อผิดพลาดและแก้ไขข้อผิดพลาดได้ง่ายขึ้น เหมือนกับการมีรายการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าทุกส่วนอยู่ถูกที่
ในแต่ละวัน เรามักจะพบกับสถานการณ์ที่สิ่งต่างๆ ต้องสมดุลกัน เมื่อคุณสร้างหอคอยด้วยบล็อก คุณจะตรวจสอบดูว่าบล็อกวางซ้อนกันอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ ในทำนองเดียวกัน สมการต่างๆ ก็ต้องสมดุลระหว่างส่วนซ้ายและขวาอย่างเหมาะสม
ลองนึกถึงสถานการณ์ที่คุณกับเพื่อนกำลังจัดตะกร้าสองใบเพื่อแยกลูกบอลสีต่างๆ หากตะกร้าใบหนึ่งมีลูกบอลสีแดงเท่ากับอีกใบหนึ่ง คุณก็กำลังตั้งสมการขึ้นมา จำนวนลูกบอลในตะกร้าใบหนึ่งแสดงถึงด้านหนึ่งของสมการ และจำนวนลูกบอลในตะกร้าอีกใบแสดงถึงด้านอื่น เมื่อตะกร้าทั้งสองใบมีจำนวนเท่ากัน แสดงว่าตะกร้าทั้งสองใบสมดุลกัน
วิธีการคิดแบบนี้มีประโยชน์ในหลาย ๆ สถานการณ์ ไม่ว่าคุณจะกำลังตวงส่วนผสมสำหรับของขบเคี้ยวยามว่างหรือกำลังจัดข้าวของในห้อง แนวคิดเรื่องความสมดุลเป็นสิ่งที่คุณใช้ทุกวัน สมการทางคณิตศาสตร์สอนบทเรียนนี้ให้คุณผ่านตัวเลขและสัญลักษณ์
ในสมการหลายๆ สมการ คุณจะเห็นการบวก ลบ คูณ หรือหารที่ด้านใดด้านหนึ่งของเครื่องหมายเท่ากับ การดำเนินการเหล่านี้ช่วยสร้างนิพจน์ที่ประกอบเป็นด้านซ้ายและขวา ตัวอย่างเช่น สมการ \(4 + 6 = 5 + 5\) แสดงให้เห็นว่าทั้งสองด้านมีการดำเนินการบวก เมื่อคุณคำนวณเสร็จสิ้น ทั้งสองด้านจะเท่ากับ \(10\)
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าแม้ว่าตัวเลขและการดำเนินการจะดูแตกต่างกัน สิ่งที่สำคัญคือค่าสุดท้ายในแต่ละด้าน กระบวนการดำเนินการและเปรียบเทียบผลลัพธ์จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าความยุติธรรมของสมการไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอกแต่เป็นความสมดุลสุดท้าย
เมื่อคุณเรียนรู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์มากขึ้น คุณจะพบว่ามีวิธีการดำเนินการต่างๆ มากมาย อย่างไรก็ตาม แนวคิดยังคงเหมือนเดิม นั่นคือ แยกสมการที่เครื่องหมายเท่ากับ และตรวจสอบว่าทั้งสองข้างตรงกันหรือไม่ ไม่ว่าจะบวก ลบ คูณ หรือหารตัวเลข ก็ต้องคงความสมดุลไว้
ประเด็นสำคัญที่ต้องจำ:
อย่าลืมมองหาเครื่องหมายเท่ากับเสมอเมื่ออ่านสมการ เครื่องหมายนี้จะแบ่งสมการออกเป็นสองส่วน คือ ด้านซ้ายและด้านขวา เมื่อตรวจสอบทั้งสองด้านแล้ว คุณจะมั่นใจได้ว่าสมการทุกสมการมีความสมดุลและยุติธรรม เช่นเดียวกับการแบ่งปันหรือชั่งน้ำหนักสิ่งของในชีวิตประจำวันของคุณ
ด้วยบทเรียนนี้ คุณจะได้เรียนรู้วิธีระบุด้านของสมการ คุณได้เห็นตัวอย่างที่มีตัวเลขและแม้แต่ตัวอย่างที่มีตัวแปร การทำความเข้าใจว่าส่วนใดของสมการอยู่ทางซ้ายและส่วนใดอยู่ทางขวา จะช่วยให้คุณสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์หลายประเภทในอนาคต
เมื่อคุณเรียนรู้คณิตศาสตร์ต่อไป โปรดจำไว้ว่าการแก้สมการต้องอาศัยความยุติธรรมและความเท่าเทียม สมการแต่ละข้อที่คุณพบเป็นปริศนาเล็กๆ ที่รอการแก้ไข เพลิดเพลินไปกับการเดินทางขณะที่คุณฝึกฝนและค้นพบสิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับโลกของตัวเลขและสมการ!